รักพิศวาส

ตอนที่ 1 พบหน้า

นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วนะ

ฉันพยายามยกหัวที่แสนจะหนักอึ้งให้พ้นจาก หมอนนิ่ม มือเล็กทุบที่หัวเบาๆ แล้วสะบัดหัวสองสาม ที ดวงตากลมโตปรือมองไปรอบห้อง นาฬิกาบนหัว เตียงบอกเวลาว่าตอนนี้เกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว

นับว่ายังดี เพราะวันนี้ฉันมีเรียนแค่ตอนบ่าย แต่ ที่แย่ คือ ปวดหัวและแฮงค์มาก

“โอ๊ย! ปวดหัวชะมัด เมื่อคืนไม่น่าชัดหนักขนาด นั้นเลย” ว่าแล้วก็ได้แต่โอดครวญเท่านั้นแหละ เพราะ ยังไงฉันก็ยังคงต้องไปเรียนอยู่ดี

เกือบครึ่งชั่วโมงที่ฉันจะลากสังขารเน่าๆ ของตัว เองเข้าไปในห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปมหาลัย แล้วกว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง

ติดๆ

เสียงมือถือที่ดังอยู่บนเตียงทำให้ฉันต้องวางผ้า ขนหนูที่เช็ดผมลง แล้วเดินไปหยิบมือถือขึ้นมาดู นึก ว่าใครที่ไหน เพื่อนตัวดีของฉันนี่เอง

“ฮัลโหล” ฉันเปิดลำโพงมือถือไว้ก่อนจะเดินไป หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาเช็ดผมอีกครั้ง

(น้ำเสียงไม่แย่ แสดงว่าเมื่อคืนพอไหว) ฉันหมั่น ไส้น้ำเสียงกระแนะกระแหนของเพื่อนชายเพียงคน เดียวของฉันนัก

“ภูผา” มันนั่นแหละ เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ฉันตื่น มาในสภาพแบบนี้

ตอนแรกนัดกันบอกว่า อยากมานั่งฟังเพลง เบาๆ ดื่มชิลๆ เน้นเสพบรรยากาศเอา ฉันสงสัยว่า ชิลๆ ของมันกับของฉันมันเหมือนกันหรือเปล่า

เพราะว่าหลังจากนั่งที่ร้านได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง มัน ก็พาเพื่อนผู้ชายมาเพิ่มอีกเป็นฝูง เหมือนยกโขยงกัน มาที่ร้านอ่ะ แล้วก็สั่งเครื่องดื่มสั่งกับแกล้มกันเองเสร็จสรรพ ซึ่งฉันได้แต่มองตามตาปริบๆ ส่วนไอ้คน ชวนมาตอนนี้ก็หายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ที่ฉันรู้คือ มันน่าจะไปจีบสาวอยู่แถวๆ นี้แหละ

“เฮ้อ นี่ฉันมาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย” อวสานวันนั่ง ชิลไปโดยปริยาย

ฉันหันไปทางไหนก็เจอแต่ เพื่อนของไอ้ผา ที่ กำลังดื่มอย่างเอาเป็นเอาตาย ดื่มเหมือนวันนี้เป็นวัน สุดท้ายของชีวิต มีแต่ฉันนี่แหละที่นั่งดื่มเงียบๆ อยู่คน เดียว

ตัดภาพไปหลังจากนั้นสักหนึ่งชั่วโมง ทั้งฉัน ไอ้ภู ผา แล้วก็เพื่อนของมัน ไปกอดคอชนแก้วกันอย่างกับ คนที่รู้จักกันกันมาหลายสิบปี พวกเราพากันดื่มแบบ ไม่ลืมหูลืมตากันเลย ส่วนร้านนั้นพอเห็นว่าวัยรุ่นมา กันเยอะ เลยเปลี่ยนแนวเพลงจากเพลงช้า กลายเป็น เพลงแดนซ์ทำนองมันๆ

จากนั้นภาพก็ตัดไปเลย รู้ตัวอีกทีก็ตอนตื่นนี่ แหละ

ขนาดฉันไม่ใช่คนคออ่อนนะ แต่ก็ไม่ได้คอแข็ง ขนาดนั้น เจอเหล้าเพียวๆ ไปสองสามแก้วติดต่อกันก็ เสียศูนย์ไปเลย

แล้วแทนที่เพื่อนรักของฉันจะคอยห้ามเพื่อนๆ

ของมัน ที่พยายามพยักพเยิดให้ฉันดื่ม แต่มันกลับ ร่วมวงเอาไปกับเขาด้วย

“ไหวบ้า ไหวบออะไรล่ะ ตื่นมาปวดหัวจะระเบิด อยู่แล้ว”

(ถ้าเธอดื่มไม่ไหว แล้วทำไมไม่ปฏิเสธไปเล่า)

“ทำไมไม่ปฏิเสธ? เฮอะ ฉันบอกจนไม่รู้จะบอก ยังไงแล้วเถอะ เพื่อนนายคิดว่าฉันเป็นเพื่อนผู้ชาย หรือไง ถึงได้บังคับให้ฉันดื่มอยู่นั่นแหละ”

ถึงฉันจะตัวสูงกว่าผู้หญิงทั่วไป ตัวอาจจะหนา สักหน่อย ตามสไตล์คนที่เรียนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่ เด็ก ร่างกายเลยเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อซะส่วนใหญ่

ทำไงได้ล่ะ ก็ที่บ้านของฉันเปิดโรงเรียนสอน ศิลปะการต่อสู้ทั้ง ยูโดเอย เทควันโดเอย ฉันเลยต้อง เรียนไปโดยปริยาย

แต่นั่นไม่ใช่เหตุผล ที่ทำให้พวกนั้นมองฉันเป็นผู้ ชายสักหน่อย อย่างน้อยฉันก็มีหน้าอกนะ แถมขนาด ยังใหญ่เกินตัวอีกต่างหาก จนบางครั้งรู้สึกว่ามันน่าอึดอัดด้วยซ้ำ เวลาที่ฉันออกกำลังกายไอ้ก้อนเนื้อนิ่มสอง ลูกนี้มันมักจะเขย่าโบกสะบัดไปมาจนน่ารำคาญ

(ฉันน่ะห้ามพวกมันแล้ว แต่เธอนั่นแหละ ไปทำอี ท่าไหน พวกมันถึงได้ไปทำตัวสนิทสนมกับเธอขนาด นั้น ทั้งที่ปกติพวกมันไม่ค่อยไปสุงสิงกับผู้หญิงคน ไหนเลย ถ้ามันไม่ต้องการเอาไปนอนกกด้วยอ่ะนะ)

“อีท่าไหนล่ะ ตอนแรกมีไอ้หนุ่มที่ชื่อว่า เพชร เข้ามาถามว่าทำไมฉันถึงหุ่นดีจัง ฉันก็บอกไปตาม ตรงน่ะสิว่าที่บ้านเปิดโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ เลย เรียนมาตั้งแต่เด็กแถมยังฝึกหนักมาก ถึงมีหุ่นแบบนี้ ไง”

(แล้วยังไงต่อ)

“หลังจากนั้นเจ้านั่นก็พาเพื่อนคนอื่นๆ มารุมถาม ฉันใหญ่เลยว่าต้องทำยังไงบ้างถึงจะมีหุ่นแบบฉัน เขา ถามเยอะจนฉันรำคาญน่ะ”

(พวกฉันวันๆ ก็มีแต่เรียน เรียน แล้วก็เรียน พอ พลังหมดก็เจียดเวลาอันน้อยนิดก็พากันไปกินเหล้า แล้วจะเอาเวลาว่างที่ไหนไปฟิตหุ่นให้ล่ำเหมือนเธอไม่ ทราบ)

“แว้าบันเกี่ยวละไรกับฉันล่ะ ถ้าเพื่อนพากบายอยากออกกำลังกายนักก็เสิร์ชหาวิธีในอินเตอร์เน็ตสิ หรือไม่ก็เข้ายิมหาเทรนเนอร์สักคนก็ได้” ฉันก็แค่ออก กำลังกายธรรมดาประจำทุกวัน ไม่รู้วิธีที่จะไปสอนใคร หรอก

(งั้นคราวหน้าฉันจะไม่พาพวกมันไปแล้ว โอเค ไหม?)

“โอเค”

(งั้นเย็นวันนี้เจอกันร้านหน้ามอ) มือที่กำลังเช็ด ผมชะงัก

“ฉันพึ่งบอกไปเมื่อกี้เองว่าปวดหัวหนักมาก”

(ครั้งนี้ไปนั่งชิลจริงๆ สัญญา) ฉันเหลือกตามอง บน

“ถ้านายโกหกอีก ฉันจับนายหักสองท่อนแน่ภู ผา"

(แน่หน่า แล้วเจอกัน)

ติ๊ด!

ฉันกดวางสายพร้อมกับถอนหายใจ จากนั้นก็ก้าวขายาวๆ ไปยังตะกร้าผ้าแล้วก็โยนผ้าขนหนูลงไป แล้วเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งหยิบหวีขึ้นมาหวีผมแบบ ลวกๆ ก่อนจะหยิบครีมกันแดดมาทาจนทั่วใบหน้า ตามด้วยแป้งเด็กกลิ่นหอมอ่อน

แล้วก็ตบท้ายด้วยลิปมันสีอ่อน สำรวจตัวเองอีก ครั้ง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ฉันก็เดินไปหยิบ กระเป๋าคาดอกคู่ใจขึ้นมาสะพายแล้วก็เดินออกจาก ห้องไป

เนื่องจากคอนโดของฉันอยู่ใกล้มอมากๆ ถ้าเดิน ไปก็ใช้เวลาประมาณสิบห้านาที แต่ถ้านั่งรถก็ใช้เวลา ไม่ถึงสิบนาที

ปกติแล้วในวันที่เร่งรีบฉันจะนั่งรถไปเรียน แต่ วันนี้ฉันเลือกเดินเพราะการได้ออกกำลังกายมันจะ ช่วยให้ร่างกายตื่น กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น

ฉันมาถึงห้องเรียนภายในเวลาที่บอกไปก่อนหน้า นี้เป๊ะ

“สิบห้านาทีพอดี ไม่ขาดไม่เกิน” ฉันยิ้มให้กับตัว เอง ถือว่าทำเวลาได้ดีทีเดียว

เหลือเวลาอีกประมาณยี่สิบนาทีก่อนถึงเวลา เรียน นักศึกษาต่างก็เริ่มทยอยเข้ามาในห้องเรียนกัน แล้ว เพื่อนหลายคนในห้องนี้ฉันคุ้นหน้าคุ้นตากันดีแต่ไม่ค่อยได้เข้าไปคุยกับพวกนั้นเท่าไหร่นัก เพราะด้วย นิสัยของฉันไม่ค่อยเข้ากับเพื่อนผู้หญิง เพื่อนส่วน ใหญ่ของฉันถึงเป็นผู้ชายมากกว่า

แต่ก็ไม่ใช่ว่าเพื่อนผู้หญิงจะไม่ชอบฉันนะ ส่วน ใหญ่ก็น่าจะชอบฉันแหละ แต่ชอบแบบ...

ฉันนั่งลงบนเก้าอี้หลังห้อง เงยหน้ามองก็เห็น เพื่อนผู้หญิง บางคนใบหน้าก็เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ ฉัน ยิ้มให้ตามมารยาท แต่พวกเธอกลับหันหน้าหนีอย่าง เหนียมอาย

แค่นี้พอจะเดาได้ไหมล่ะ

ใช่แล้ว พวกสาวๆ กว่าครึ่งห้องต่างพากันแอบ กรี๊ดฉันอยู่ เชื่อไหมว่า ช่วงแรกที่ฉันเข้าเรียนใหม่ๆ ทั้ง ดอกไม้ ทั้งขนมเต็มโต๊ะไปหมด จนพวกผู้ชายในห้อง พากันเขม่นฉันกันใหญ่

แต่จะทำไงได้ล่ะ ก็ฉันมันหน้าตาดี ดวงตากลมโต หางตาเฉี่ยวขึ้นเล็กน้อย เลยทำให้ดูหน้าดุ จมูกไม่โด่ง มากกำลังพอดี ปลายจมูกเชิดขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากที่ ดูจะบางมากกว่าผู้หญิงทั่วไป แต่ยังดีที่มีสีแดงธรรม ชาติ ถึงใบหน้าจะเล็กแต่ก็ดูเรียวคม แถมส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ผมสีน้ำตาลเข้มทรงมัลเล็ตยาว ประบ่า

เสื้อนักศึกษาพอดีตัวถูกสวมทับด้วยเสื้อฮู้ดทรง หลวม เพราะผมมันยังไม่แห้งเลยเปียกเสื้อนักศึกษาสี ขาวจนเห็นสปอร์ตบราด้านใน ฉันเลยหยิบเสื้อฮู้ดที่ใส่ มาแล้วสามวัน เอามาใส่ทับไว้

กระโปรงพลีทที่มีกางเกงบอลใส่ทับไว้ข้างในป้อง กันเวลาฉันนั่งแล้วไม่ทันระวัง ถึงจะร้อนสักหน่อย แต่ ก็ถือว่าเป็นการป้องกันได้ดี

ส่วนรองเท้าก็เป็นรองเท้าผ้าใบสีขาวโนเนมที่หา ซื้อได้ตามตลาดนัดทั่วไป ส่วนถุงเท้าด้านในก็เป็นลาย การ์ตูนวันพีซที่ฉันชื่นชอบ

จริงสิ! เล่ามาตั้งนาน ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเอง เลยสินะ ฉันชื่อ ใยไหม เรียนอยู่ปีสอง คณะบริหาร ธุรกิจ

สาเหตุที่มาเรียนสาขานี้ เพราะ...แม่ให้มาเรียน ก็ ที่บ้านเปิดโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ ก็เลยอยากให้ ฉันเรียนสาขานี้เพื่อที่จะได้เอาความรู้ไปบริหารกิจการ ที่บ้านต่อนั่นเอง ทั้งที่ฉันอยากจะเรียนวิทยาศาสตร์ การกีฬาใจจะขาด

ฉันถนัดใช้กำลังมากกว่าสมอง ทุกวันนี้ตั้งใจ เรียนจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาเป็นเลือดอยู่แล้ว อาจารย์สอนอะไรมาก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาตลอด มีแต่ ตอนจะสอบเท่านั้นแหละที่สมองพอจะมีการกระเตื้อง บ้าง

นอกนั้นก็มีแต่ออกกำลังกาย เฮ้อ แล้วอีกสองปี ที่เหลือฉันจะเอาชีวิตรอดได้ยังไงล่ะเนี่ย

กว่าอาจารย์จะปล่อยก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสาม โมงครึ่ง ทั้งที่กำหนดเวลาสอนมันแค่สองชั่วโมง ซึ่งก็ คือบ่ายสามโมง แต่อาจารย์ก็ใจดีเพิ่มเวลาอีกครึ่งชั่ว โมงเพื่อบอกแนวข้อสอบให้กับนักเรียนที่สนใจเรียนได้ รับทราบและได้ไปเตรียมตัวกันอ่านหนังสือสอบเก็บ คะแนนคาบหน้า

พออาจารย์ปล่อยแล้ว ฉันก็ตั้งใจว่าจะรีบกลับ ห้องเพื่ออกกำลังกายสักหน่อยก่อนไปแฮงค์เอ้าท์กับภู ผาคืนนี้

ฉันมองซ้ายมองขวาหลังจากที่เดินออกมาจาก ตึกแล้ว ก็ไม่พบกับนักศึกษาเลย จริงสิ วันนี้มีกิจกรรมอะไรสักอย่างที่คณะนิเทศนี่นา คนก็เลยพากัน ไปร่วมกิจกรรมนั่นล่ะมั้ง

ดีเลย ฉันจะได้เดินกลับบ้านอย่างสบายใจ ปกติ เวลาเดินกลับชอบมีคนมองตามทุกที

แต่ระหว่างทางกลับฉันก็เจอเข้ากับผู้หญิงคน หนึ่งกำลังยืนดูอะไรสักอย่างอยู่

อันที่จริงฉันก็ไม่ใช่พวกที่ชอบแอบดูอะไรพวกนี้ หรอก แต่บังเอิญสายตาฉันมันแอบมองไปเจอผู้ชาย คนหนึ่ง เอ่อ จะเรียกผู้ชายได้ไหมนะ ในเมื่อเขาอยู่ใน ชุดนักศึกษาชาย แต่...แต่งหน้าชนิดแบบว่าผู้หญิงยัง อาย

ขนตาอะไรจะยาวขนาดนั้น แล้วไหนจะจมูกที่โด่ง อยู่แล้ว ยังถูกแรเงา เอ่อ ฉันเรียกถูกไหมนะ เออ นั่น แหละ ถูกแรเงาจนมันดูโด่งมากขึ้นไปอีก แล้วไหนจะ แก้มสีชมพูแปร๊ด กับริมฝีปากสีบานเย็นนั่นอีก

โอ๊ย! ใครสอนเพื่อนแต่งหน้าแบบนี้เนี่ย

แต่ว่าเรื่องที่สำคัญในตอนนี้มากกว่าทักษะการ แต่งหน้าของเขา ก็คือตรงหัวเข่า ข้อศอก และตรง หน้าผากของเขาเลือดออก

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ!” ฉันถามผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อกี้เห็นผู้ชายมาจาก ไหนไม่รู้สี่ห้าคนพากันมารุมเขา สักพักก็พากันวิ่งออก ไป ฉันเลยวิ่งมาดู แล้วก็เจอเขาในสภาพนี้” เธอพูด ด้วยน้ำเสียงสั่น ฉันลูบที่ต้นแขนเธอเบาๆ เพื่อปลอบ โยน เธอคงจะตกใจมาก

“แล้วโทร.หาโรงพยาบาลหรือยัง”

“เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เราพึ่งมา”

“โรงพยาบาลอยู่ห่างจากที่นี่มากไหม” เธอส่าย หน้า

“อยู่ห่างจากที่นี่ประมาณห้าร้อยเมตร ออกจาก ประตูสองไปเลี้ยวซ้าย ตรงไปอีกเรื่อยๆ ก็ถึงแล้ว” ฉัน มองใบหน้าคนบาดเจ็บอย่างชั่งใจ

เอาวะ เป็นไงเป็นกัน แค่ห้าร้อยเมตรเอง สิบกิโล ฉันก็เคยวิ่งมาแล้ว ถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปก็ แล้วกัน

“งั้นช่วยฉันหน่อย” ฉันเดินไปด้านหน้าก่อนจะย่อ ตัวลง แล้วเงยหน้าบอกผู้หญิงที่ฉันคุยด้วยเมื่อกี้ “... ช่วยยกเขา เอ่อ เธอคนนี้ขึ้นหลังฉันหน่อย”

“ยะ อย่าบอกนะว่าเธอจะแบกเขาไปน่ะ”

“แค่นี้จิ๊บจ๊อยน่า หนักกว่านี้ฉันก็เคยแบกมาแล้ว เร็วเข้า ช่วยหน่อย” ผู้หญิงคนนั้นละล่ำละลัก แต่ก็เข้า มาช่วยฉันในที่สุด เมื่อเขา เอ่อ เธอ

โอ๊ย! เรียกแทนว่าอะไรดีวะเนี่ย เรียกว่า ยัยนี่ แล้วกัน

เมื่อยัยนี่อยู่หลังฉันแล้ว ฉันก็เตรียมตัวจะออก วิ่ง แต่ลืมบางอย่างไป

“เธอชื่ออะไร” ฉันถาม

“ฉันชื่อ มาเบล เรียนบัญชีปีสอง”

“ฉันขอบคุณมาเบลมากนะ เรื่องยัยนี่ไม่ต้องห่วง นะ เดี๋ยวฉันพาไปส่งที่โรงพยาบาลเอง”

“เอ่อ แล้วเธอชื่อ...”

“ฉันชื่อ ใยไหม เรียนบริหารปีสอง งั้นฉันไปก่อน นะ แล้วเจอกัน”

จากนั้นฉันก็ใส่เกียร์หมาแล้ววิ่งไปข้างหน้าทันที