ตอนที่ 1 แรกพบ
บทนำ <<แรกพบ>>
โดย : hanqing-หานฉิง
บนถนนเลียบอ่าว วิคตอเรีย ย่านจิมซาจุ่ย เวลา นี้เป็นเวลาที่พระอาทิตย์พึ่งจะลาขอบฟ้าไปได้ไม่นาน ผู้คนมากมายทยอยพากันหลั่งไหลเข้ามา บ้างมาเพื่อพักผ่อนชมวิวกับเพื่อน กับคู่รัก หรือครอบครัว บ้างเพียงแค่สัญจรผ่านไปมา และบ้างมาเพื่อชมแสงสีเสียงสุดตระการตาของการแสดง Symphony of Lights ไฮไลท์สำคัญ ที่ปลุกให้ย่านนี้เต็มไปด้วยสีสันและความมีชีวิตชีวาในทุกๆ วัน และด้วยเพราะถนนย่านนี้อยู่ติดกับอ่าว ทำให้มีสายลมพัดผ่านอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแม้ว่าผู้คนจะพากันเข้ามามากมาย ก็ไม่ได้ทำให้สถานที่แห่งนี้แลดูแออัดเลยสักนิด ในทางกลับกันสถานที่แห่งนี้กลับเป็นสถานที่ยอดนิยมในการนัดพบ เพราะความโรแมนติกและสวยงามที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นโดยธรรมชาติและศิลปะในใจของมนุษย์ที่ถ่ายทอดออกมา
“จ้าน เกอเกอ”
“จ้าน เกอเกอ”
เสียงใสๆ ที่ดังแทรกออกมาจากเสียงจ๊อกแจ๊กบริเวณนี้ ทำให้ชายหนุ่มเจ้าของชื่อที่พึ่งเดินมาถึงยังจุดนัดพบ ระบายรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาทันที ก่อนจะรีบวางของที่ถืออยู่แล้วกางแขนออก รอรับร่างเล็กๆ ของเด็กน้อยที่กระโจนเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว
“อาปินคิดถึงจ้าน เกอเกอมากๆ ๆ ๆ ๆ” เด็กน้อยรีบพูดบอกพลางซุกหน้าลงที่ลาดไหล่บางของเชียวจ้าน พี่ชายที่แสนใจดีที่ช่วยเหลือตนกับพี่สาวไว้
“คิดถึงอะไรกันหืมม เมื่อวานพึ่งเจอกันไปเองนะ” เชียวจ้านถามกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว มือบางข้างหนึ่งประคองเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน อีกข้างลูบหัวเล็กอย่างเอ็นดู
“ใช่ๆ อาปินน่ะเวอร์”
“แล้วพี่หลินไม่คิดถึงจ้าน เกอเกอ หรือไง”
“ก็...คิดถึงสิ” เมื่อน้องชายย้อนถามกลับ เด็กสาวที่โตกว่าน้องตัวเองนิดเดียว ก็ได้แต่ตอบกลับเสียงแผ่ว ก็ใครบ้างล่ะจะไม่คิดถึงพี่ชายรูปหล่อ ใจดี แถมยังอ่อนโยนคนนี้ได้ ต่อให้ได้เจอทุกวัน ก็ต้องคิดถึงทุกวันอยู่ดี
“พี่ก็คิดถึงทั้งสองคนมากๆ” เชียวจ้านบอก ก่อนจะวางเด็กชายตัวน้อยลง แล้วจูงมือพาทั้ง 2 คนไปหาที่นั่ง ซึ่งสามารถมองเห็นวิวสวยงามของ Symphony of Lights ได้อย่างชัดเจน
“วันนี้จ้าน เกอเกอจะสอนพวกเราวาดอะไรเหรอ” เด็กชายอาปินถาม
“พี่จะให้พวกเราวาดรูปสิ่งที่เห็นตรงหน้านี้”
“โหหห ยากจังเลย จ้าน เกอเกอ”
“อาหลินจะพยายามค่ะ” ในขณะที่คนน้องโอดครวญ คนพี่กลับรีบเตรียมกระดาษและดินสอออกมา กวาดรูป
“เก่งมากอาหลิน อาปินก็ด้วยรีบวาดเร็ว” เด็กน้อยพยักหน้ารับคำ แล้วลงมือวาดทันที
เวลาผ่านไปราว 2 ชั่วโมง สองพี่น้องก็วาดรูปจนเสร็จ แม้อาจจะยังไม่สวยเหมือนจริง แต่ก็นับว่าพัฒนาขึ้นมากจริงๆ จากที่เชียวจ้านได้พยายามสอนทั้งสองคนมาเกือบ 3 เดือน
ถ้าจะถามว่าเพราะเหตุใดตนจึงได้มาสอนเด็กๆ ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อสามเดือนที่แล้ว เชียวจ้านและพนักงานในบริษัทได้พากันมาฉลองที่นี่ หลังจากจบที่เข้ามาขอวาดรูปให้ แลกกับค่าขนเล็กๆ น้อยๆ ด้วยความถูกชะตาในความขยันของเด็กน้อยวัย 8-9 ขวบ ทั้งสองคนนี้ เขาจึงอาสามาสอนเทคนิควาดรูปให้ เพื่อให้เด็กน้อยมีเทคนิคที่ดีขึ้นต่อไป
“เป็นยังไงบ้างคะ อาหลินวาดสวยมั้ย” หลังวาดเสร็จแล้วส่งให้พี่ชายดู เด็กน้อยก็รอคำตอบอย่างจดจ่อ
“สวยขึ้นมากเลย ฝึกอีกนิดจะต้องได้ภาพที่มีราคาสูงมากๆ แน่”
“แล้วของอาปินล่ะ”
“ของอาปินก็ดีขึ้น แต่อาปินก็ต้องขยันให้มากๆ เหมือนพี่หลินเข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ อาปินจะพยายาม”
“ดีมาก ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ พี่จะพาไปกินข้าวแล้วพากลับบ้าน”
“ค่ะ / ครับ” แล้วทั้งสามคนก็ช่วยกันเก็บอุปกรณ์วาดรูป ก่อนที่เชียวจ้านจะพาเด็กน้อยทั้งสองคนไปทานข้าวที่ร้านอาหารใกล้แถวนี้ และไม่ลืมที่จะซื้่ออีกชุดหนึ่งเพื่อกลับบ้านไปให้มารดาของเด็กๆ นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เชียวจ้านเอ็นดูเด็กน้อยทั้งสอง ความกตัญญูที่นึกถึงมารดาเสมอของเด็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้น วันนี้พี่กลับก่อนนะ แล้วก็พรุ่งนี้พี่ไม่ได้มาหานะ พี่มีงานน่ะ”
“ค่ะ ขอบคุณจ้าน เกอเกอมากๆ เลยค่ะ”
“พี่ไปล่ะ ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะทั้งสองคน”
“ครับ อาปินจะดูแลทั้งพี่หลินแล้วก็แม่เองเพราะอาปินแข็งแรง” เด็กน้อยอาปินบอกอย่างภูมิใจ เชียวจ้านยิ้มให้ทั้งสองอีกครั้งก่อนจะเดินออกมาจากบ้านหลังน้อยในตรอกซอยเล็กๆ ย่านจิมซาจุ่ยที่แสนคึกคัก ชายหนุ่มปล่อยความคิดให้ไหลไปเรื่อยในยามที่เดินไปแต่ละก้าวอย่างใจเย็น จนรู้ตัวอีกทีก็มาถึงเขตที่มาการก่อสร้างใหม่ ซึ่งตึกนี้ทำโครงสร้างเสร็จแล้ว เหลือเพียงตกแต่งภายใน ซึ่งนั่นเป็นงานที่บริษัทเขารับมาเอง
โฮ่ง! โฮ่ง!
ยืนมองตึกที่ตัวเองจะทำงานได้ไม่นาน เสียงเจ้า กรรมนายเวรที่ชาตินี้เชียวจ้านไม่ขอเข้าใกล้ก็ดังขึ้น ไม่ต้องคิดนาน ชายหนุ่มออกวิ่งทันที อย่างไม่คิดหันกลับไปมองก่อน เพราะถ้าเห็นมันเขาจะขาอ่อนจนวิ่งไม่ออกแน่ๆ “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วยยย ฮือออ” เชียวจ้านวิ่งไปพลางร้องไปพลาง ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิทอย่างไม่กล้าลืมขึ้นมองเจ้าตัวที่วิ่งตามมา
พลั่ก!
“ขะ.....ขอโทษค.....” ด้วยความที่วิ่งไม่มองทำให้เชียวจ้านชนข้ากับใครบางคนที่ผ่านมาเข้าอย่างจัง แต่ก็ไม่ได้ล้ม เพราะคนที่ถูกชนนั้นรับเอาไว้ได้
โฮ่ง! โฮ่ง!
“ว๊ากก ช่วยด้วยย” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค เจ้ากรรมนายเวรของเชียวจ้านก็ส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง เชียวจ้านขาดสติกระโดดกอดคนตรงหน้าไม่ยอมปล่อย
“นี่! ปล่อยนะ” เสียงหงุดหงิดเอ่ยบอก พลางพยายามผลักร่างที่เกาะตนอยู่ออก แต่ก็ไม่เป็นผล กลับกันร่างที่บางกว่านั่นกลับยิ่งกอดตนแน่นขึ้น สองขาเรียวเกี่ยวเอวคอดไว้แน่น สองแขนก็รัดตัวเขาสะจนแทบหายใจแทบไม่ออก แถมเจ้าตัวยังตัวสั่นหงกๆ สะยิ่งกว่าลูกนกตกน้ำ สุดท้ายจึงต้องหันไปเล่นงานเจ้าตัวต้นเหตุแทน
“ไป!” ดวงตาคมดุตวัดมองเจ้าหมาตัวร้าย พลางเอ่ยไล่ และไม่ต้องให้ไล่ช้ำเจ้าหมาวิ่งหนีออกไปทันที
“ปล่อยได้แล้ว มันไปแล้ว”
“จะ....จริงเหรอ” เชียวจ้านถามเสียงสั่น พลางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สายตาสอดส่ายไปมารอบๆ เพื่อมองให้แน่ใจว่าเจ้ากรรมนายเวรตัวร้ายนั่นไม่อยู่แล้วจริงๆ สุดท้ายจึงได้ผละตัวออกจากร่างที่หนากว่าตนเล็กน้อยตรงหน้า
“ขอโทษ แล้วก็ขอบคุณมากๆ นะครับ” เชียวจ้านรีบพูดบอก พลางโค้งให้คนตรงหน้าอย่างจริงใจ
“หึ!” ชายหนุ่มแค่นเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะหันหลังให้อย่างไม่สนใจแล้วจะเดินจากไป แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขา ข้อมือหนาก็ถูกคว้าเอาไว้ก่อน ชายหนุ่มไม่ได้หันตัวกลับ เพียงผินใบหน้ากลับมามองด้วยสายตาคมดุเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้ทั้งสองคนได้เห็นหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก
“คะ...คือว่า” เชียวจ้านได้แต่ท่ามกลางพูดไม่ออก เพราะสายตาดุนั่นทำเอาลืมสิ่งที่จะพูดไปสะหมด สุดท้ายข้อมือหนาก็สะบัดออก พร้อมเสียงแค่นจมูกอีกครั้ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินจากไป