ตอนที่ 2
ขาเรียวเล็กเดินออกมานอกห้องนอน ขณะตาคู่ สวยกวาดมองยังชั้นสองของตัวบ้านที่คุ้นเคยเพราะไม่ ใช่ครั้งแรกที่มา แต่ก็ไม่พบเจอใครเลย ในเวลาที่กำลัง สงสัยว่าทุกคนหายไปไหนหมด ก็ได้ยินเสียงคล้ายฝี เท้าคู่หนึ่งกำลังเดินขึ้นมาบนบ้าน น้ำพริกจึงเบี่ยงสาย ตาไปมองเห็น ลำไย หญิงสาวรุ่นน้องวัยยี่สิบสอง ซึ่ง เป็นคนงานที่บ้านก้อง ถือพานสีทองขึ้นมาข้างบน จึง เอ่ยถามลำไยด้วยใบหน้าสงสัย...
“ลำไยเห็นแม่พี่ไหม?”
“ไปนานแล้วเหรอ?"
“ไปตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วจ้ะ”
“อ๋อ ขอบใจนะ” พอได้ยินคำตอบน้ำพริกก็ได้แต่ บ่นแม่ของเธอในใจที่ไม่ยอมปลุกเธอให้ไปด้วย เมื่อทำ อะไรไม่ได้จึงเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้งแล้ว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหา สวย เพื่อนสนิทระหว่างรอ คนเป็นแม่กลับมา...
(กูว่าแม่มึงไม่กลับหรอก)
“อ้าว! นี่มึงแช่งแม่กูเหรอ” หลังจากเล่าเรื่องทั้ง หมดให้สวยฟัง พอได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้นก็ถึงกับถาม ออกไปเสียงแข็ง จนคนปลายสายต้องรีบอธิบายขยาย ความก่อนที่น้ำพริกจะเข้าใจผิด
(กูไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่กูหมายถึงแม่มึง ต้องมีแผน ให้มึงอยู่กับพี่เขาตามลำพังสองคนเพื่อที่ จะเยเย้มารูโกะกันแน่)
“โอ๊ย” ไร้สาระมึงอะ แม่กูไม่คิดแบบนั้นหรอก มี แต่แม่กูจะกลัวกูไปทำอะไรเขามากกว่า”
(เออจริงว่ะ)
น้ำพริกนอนคุยกับสวยกระทั่งพระอาทิตย์ลับฟ้า แต่นลินญาและกัญญาก็ยังไม่กลับ เธอจึงเลือกวาง สายจากเพื่อนสนิทแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวสีขาวเดินลงไป ข้างล่าง เพื่อไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยเมื่อรู้สึก เหนียวตัว...
ทางด้านก้องหลังจากปั้นเศียรเสร็จก็รีบอาบน้ำ ชำระร่างกายให้สะอาด พอสวมใส่กางเกงเรียบร้อยก็ คว้าผ้าขาวม้ามาถูหลังที่ยังมีน้ำเกาะ จากนั้นดึงประตู ห้องน้ำเปิดออกแล้วเดินไปหารามที่กำลังนั่งกินเหล้า อยู่หน้าเรือนรับรอง
ขณะที่ร่างสูงกำลังจะทิ้งตัวนั่งลงยังเตียงไม้สัก สายตาก็เหลือบเห็นว่าที่ภรรยาของตนกำลังเดินลง บันไดมาข้างล่างจึงมองเธอครู่หนึ่ง แต่พอเห็นอีกคน หันมาก็เลือกเบือนหน้าไปทางอื่น กระทั่งได้ยินเสียง ประตูห้องน้ำปิดลง ก้องก็หันไปมองน้ำพริกอีกครั้ง...
ที่เขาแสดงปฏิกิริยากับเธอเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเกลียด เพียงแต่แค่อยากแสดงออกให้เธอเห็นว่าเขานั้นไม่ได้ อยากแต่งงานกับเธอ เพื่อที่เธอจะได้ล้มเลิกความคิด ที่จะแต่งงานกับเขา เพราะถ้าหากเธอยังคงดื้อรั้น ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ตัวเธอเองนั่นแหละที่จะเสียใจ
เพราะคนอย่างเขามันรักใครไม่เป็น อีกทั้งยังไม่ ศรัทธาในความรักอีกต่างหาก...
“เมียเจ้างามเนอะอ้ายก้อง ว่าแต่ชื่อหยังนะ?” ( เมียพี่สวยนะพี่ก้อง ว่าแต่ชื่ออะไรนะ?)
“บ่แม่นเมียกู อยากรู้ถึงกะไปถามเอง” (ไม่ใช่เมีย กู อยากรู้มึงก็ไปถามเอง) ร่างสูงตอบด้วยสีหน้าและ น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ เมื่อรามเรียกน้ำพริกว่าเมียของ เขาทั้งที่ไม่ใช่ ก่อนจะคว้าขันน้ำเย็น ๆ ยกขึ้นดื่มเพื่อ ระงับอารมณ์เดือดดาลภายในใจ
...โดยไม่รู้เลยว่ารุ่นน้องนั่งมองด้วยความสงสัย และคิดในใจว่าลูกพี่มันไปกินรังแตนที่ไหนมา ถึงได้ อารมณ์ฉุนเฉียวขนาดนี้ ก่อนจะเลือกเปลี่ยนเรื่องคุย แทน
ขณะที่ก้องกับรามกำลังนั่งคุยกันอยู่หน้าเรือนรับ รองจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ท่อดังกำลังวิ่งมุ่ง ตรงมาที่บ้าน สองชายหนุ่มจึงหันไปมองก่อนจะเห็น รถเวฟสีแดงเลี้ยวเข้ามาในบ้านพอดี พร้อมกับเสียง เจ้าของรถคันดังกล่าวที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ....
“บักราม! แดกเหล้ากะบ่ถ่ากูเลยเนอะมึง” (ไอ้ราม! กินเหล้าก็ไม่รอกูเลยนะมึง)
“กะอ้ายช้าเนอะ” (ก็พี่ช้าอะ)
“ช้าหยัง กูฟ้าวแบกข้าวขึ้นเล้าช่วยแม่กู คัน ฮอดหรรมปานได้น้ำกะบ่อาบ มึงยังว่ากูช้าอีกเบาะ” ( ช้าอะไร กูรีบแบกข้าวขึ้นเล้าช่วยแม่กู คันยันหรรม ขนาดไหนน้ำก็ไม่อาบ มึงยังบอกว่ากูช้าอีกเหรอ) ก้อง มอง สี่ เพื่อนสนิทพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะส่าย หน้าเบา ๆ เมื่อเห็นความพยายามของเพื่อน ที่รีบมา จนไม่อาบน้ำเพราะกลัวไม่ได้กินเหล้า
ในขณะที่สี่นั้นพูดพร้อมกับรีบเอาขาตั้งรถลง ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงข้างก้องจากนั้นก็เลื่อนมือไป รับแก้วเหล้าจากราม มายกดื่มรวดเดียวหมดราวกับ อดอยากมาจากไหน
“อ่า~ ส่วงแฮง” (อ่า~ สดชื่นมาก)
“ปานนั้นเลยติอ้าย” (ขนาดนั้นเลยดิพี่)
“ของมักกูเนอะ” (ของชอบกูอะ) ไม่พูดเปล่าสี่ยื่น แก้วกลับไปให้รามอีกครั้งเพื่อให้รุ่นน้องรินเหล้าขาวให้ อีก ในขณะก้องนั่งฟังทั้งสองคนคุยกันเงียบ ๆ ตา ดำขลับก็มองยังทุ่งนาเขียวขจีหลังบ้านด้วยความรู้สึก
สบายตา กระทั่ง...
“แต่ข่อยว่าสิเซากินแล้วเด้ะ” (แต่ฉันว่าจะเลิกกิน แล้วนะ)
“อีหลีบ่วะ?” (จริง ๆ เหรอวะ?) ไม่ใช่แค่สี่เท่านั้น ที่ไม่เชื่อหู กับคำพูดที่ออกจากปากรามเมื่อครู่ ก้อง เองก็เช่นกัน พอได้ยินเช่นนั้นก็ละสายตาจากต้นข้าวที่ โอนเอียงตามสายลม ไปยังรุ่นน้องแล้วตั้งใจฟัง ประโยคถัดมาของราม
“แม่น” (ใช่)
“เออ! เหล้ามันเป็นสิ่งบ่ดี เซาได้เซา คั่นเซาบ่ได้ กะชวนกูนำ กูพร้อมจ้วดเสมอน้องรัก” (เออเหล้ามัน เป็นสิ่งไม่ดีเลิกได้เลิก ถ้าเลิกไม่ได้ก็ชวนกูด้วย กูพร้อม ดื่มเสมอน้องรัก)
สิ้นคำพูดสี่ก้องก็ส่ายหน้าเบา ๆ ให้กับเพื่อนตัว เองด้วยความรู้สึกเอือมระอาซึ่งไม่ต่างจากราม แต่อีก คนกลับไม่คิดจะสนใจยังคงยกเหล้าขึ้นดื่มหน้าตา เฉย...
ทางด้านน้ำพริกหลังจากตักน้ำฝนที่รองไว้ในอ่าง ปูนจนสดชื่นสบายตัว ก็หยิบผ้าขนหนูสีขาวมาสะบัด สองสามครั้งแล้วพันรอบอก เอื้อมไปจับประตูห้องน้ำ แล้วกระชากเปิดออกจากนั้นก็ก้าวเดินไปข้างนอก
“ป๊าด!” (โอ้โฮ!) ขณะขาขาวเนียนผุดผ่องกำลังจะ เดินไปยังบันไดจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงอุทานดังมาจากหน้า เรือนรับรอง เธอจึงชะงักเท้าแล้วหันไปมองทางต้น เสียง ก่อนจะเห็นก้องนั่งชันเข่าในมือถือขันน้ำจ้อง มองเธอตาไม่กะพริบ รับรู้เช่นนั้นน้ำพริกก็ได้แต่คิดใน ໃຈ
มองขนาดนี้ต้องมีใจให้บ้างแหละน่า...
จึงฉีกยิ้มหวานส่งให้อีกคนไปจากนั้นก็เดินไปยัง บันไดเพื่อขึ้นไปแต่งตัวให้เรียบร้อย
“ขาวบักคัก งามแฮงเนอะเมียมึง” (ขาวฉิบหาย สวยมากเนอะเมียมึง)
“อีหลี! วาสนาอ้ายก้องเลาเนอะ” (จริง ๆ! วาสนา พี่ก้องเขานะ) ทางด้านก้องขณะนั่งมองแผ่นหลังขาว เนียนอีกทั้งขาเรียวเล็กของน้ำพริกที่กำลังเดินไปยัง บันไดไม่วางตา พอได้ยินเสียงเพื่อนและรุ่นน้องพูดขึ้น ก็ละสายจากเธอ แล้วตอบด้วยคำพูดที่ทำเอาชายหนุ่ม ทั้งสองคนที่นั่งอยู่หมั่นไส้ไม่น้อย
“เวรกรรมกูสิบ่ว่า” (เวรกรรมกูสิไม่ว่า)
“ปากดี ได้เมียงามปานนี้ยังบ่ภูมิใจอีก” (ปากดีได้เมียสวยขนาดนี้ยังไม่ภูมิใจอีก)
“กะกูบ่ได้มัก” (ก็กูไม่ได้ชอบ)
“บ่มัก หรือย่านถึกสาวกรุงเทพฟันแล้วถิ่มวะ ฮ่า ๆ” (ไม่ได้ชอบ หรือกลัวถูกผู้หญิงกรุงเทพฟันแล้ว ทิ้งวะ)
“ตลกหลายบ่มึง?” (ตลกมากเหรอมึง?) จากที่ หงุดหงิดอยู่แล้วพอได้ยินคำพูดของสี่ ที่พูดไม่เข้าหู พร้อมกับหัวเราะชอบใจเหมือนตลกมาก ร่างสูงก็อด ไม่ได้ที่จะยกบาทาไปถวายถึงปาก รามเห็นแบบนั้นก็ รีบยกขวดเหล้าหลบเพราะกลัวเหล้าหกแล้วอดกิน ใน ขณะที่สายตานั้นคอยมองส้นตีนของก้องอย่างลุ้น ๆ ว่าจะโดนปากของสี่หรือเปล่า
....แต่ดีที่อีกคนนั้นมือไวจับเท้าไว้ได้ทัน ทำให้รอด พ้นไปอย่างหวุดหวิด
“ใจเย็นจารย์”
“มึงกะเซาเว้าแหน่ กูบอกว่ากูบ่ได้มัก” (มึงก็หยุด พูดสักที กูบอกว่ากูไม่ได้ชอบ)
“เออ บ่มักกะบ่มัก” (เออ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ)
“แล้วแม่อ้ายไปไสอ้ายก้อง” (แล้วแม่พี่ไปไหนพี่ก้อง) พอเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีรามจึงรีบชวนรุ่นพี่ ทั้งสองเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะกลัวจะกินเหล้าต่อไม่ อร่อย
“จิ๊ก!” (ไม่รู้!) ร่างสูงตอบด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ เพราะยังฉุนเฉียวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ อีกทั้งตนก็ไม่ เห็นแม่ตัวเองตั้งแต่ทำงานเสร็จเช่นกัน
หลังจากนั้นทั้งสามก็นั่งพูดคุยกันต่อ กระทั่ง พระอาทิตย์ลับฟ้ายุงก็เริ่มชุมจึงแยกย้ายกันกลับ บ้าน
ทางด้านน้ำพริกหลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็ นอนรอแม่ของเธออยู่ในห้อง หลังจากติดต่อไป แล้วนลินญาบอกว่ายังทำธุระไม่เสร็จ ร่างเล็กนอน พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เพื่อต่อสู้กับความหิวเพราะ ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ช่วงบ่ายเลยกระทั่ง...
“ไม่ไหวแล้วโว้ย” ดันตัวขึ้นจากเตียงแล้วเดินออก ไปข้างนอกห้อง ตาคู่สวยมองภายในบ้านแต่ก็ไม่เห็น ใคร แม้กระทั่งว่าที่สามีของเธอ ปากเล็กจึงบ่นอุบอิบ
“ไปไหนกันหมดเนี่ย” ก่อนจะเดินลงไปข้างล่าง เพื่อเข้าไปในครัวดูว่ามีอะไรพอจะทำกินรองท้องก่อน ได้บ้าง เมื่อเท้าเหยียบบันไดขั้นสุดท้ายก็รีบสวมรอง เท้า แล้วเดินตรงไปยังห้องครัวที่อยู่ใต้ถุนบ้าน
ซึ่งเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงห้องครัวที่เปิดไฟอยู่ ขณะน้ำ พริกกำลังจะเดินเข้าไปเข้าในครัวทว่าสายตาสะดุดกับ ร่างสูงกำยำของว่าที่สามีเธอ ที่กำลังยืนทำกับข้าวอยู่ ด้านใน เธอจึงยืนมองเขาด้วยแววตาชื่นชม ที่เขานั้น เก่งไปหมดทุกอย่างจริง ๆ
ขณะน้ำพริกยืนมองก้องไม่วางตา พอได้กลิ่น หอม ๆ ของเครื่องสมุนไพรในหม้อต้มปลาร้อน ๆ ที่ หอมฟุ้งตลบอบอวล จนอดไม่ได้ที่จะสูดดมแล้วเอ่ยชม ออกมาอย่างเปิดเผย
“อ่า~ หอมจัง” จนคนที่กำลังจะยกหม้อต้มปลา ขึ้นจากเตาถ่านได้ยินจึงหันมา พอก้องเห็นน้ำพริกยืน มองอยู่หน้าห้องครัว เขาจึงมองเธอครู่หนึ่งก่อนจะ เลือกไม่สนใจเบือนหน้ากลับมาทางเดิม
“พี่ทำอะไรกินเหรอ?”
“แนมบ่เห็น?” (มองไม่เห็น?) คำตอบของอีกคน ทำเอาน้ำพริกหน้าชาไปชั่วขณะ เพราะไม่คิดว่าคนที่ดู นิ่ง ๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาอย่างเขา พอได้อ้าปากพูดทีก็ ทำเอาแทบหน้าหงายเหมือนกัน แต่เธอก็เลือกไม่สน ใจทำเป็นหูทวนลม แล้วเดินเข้าไปในครัวหยุดยืนข้าง อีกคน
จากนั้นก็ชมเขาอีกครั้งด้วยท่าทีเอาอกเอาใจ...
“ว้าว! น่ากินจังเลย กลิ่นก็ห้อมหอม หนูขอกิน ด้วยได้ไหม?"
“ไม่ได้ทำเผื่อ” ไม่พูดเปล่าก้องเอื้อมแขนเพื่อไป หยิบถ้วยที่อยู่ข้างน้ำพริกมาใส่ต้มปลา ทำเอาเกือบชน เธอหงายหลัง ดีที่เธอถอยไปทางด้านหลังก่อน ไม่งั้นถูกเขาชนแน่
แม้การกระทำของเขาคล้ายกับไล่เธอทางอ้อม แต่คนตัวเล็กก็ไม่สลดปั้นหน้ายิ้มแล้วพูดต่อ...
“แต่มันเยอะมากเลยนะ ยังไงพี่ก็กินไม่หมด หรอก"
“ไม่หมด ก็เอาไว้กินพรุ่งนี้”
“กินของค้างคืนท้องไส้มันไม่ดีหรอก ให้หนูช่วย กินให้หมดวันนี้ดีกว่า”
“ไม่ดียังไง ก็กินตลอดไม่เห็นเป็นอะไร”
“หวงมากหนูไม่กินก็ได้” เมื่อเห็นอีกคนไม่มีท่าที จะยอมเอาแต่ปฏิเสธอย่างเดียว น้ำพริกจึงยกธงขาว ยอมแพ้อย่างจำนน ก่อนจะกวาดสายตามองภายใน
ครัวกระทั่งเห็นไข่ไก่วางอยู่ในตะกร้า จึงไม่รอช้ารีบจัด การนำมาตอกใส่ถ้วย เพื่อทอดไข่เจียวกินประทังชีวิต ให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปก่อน
ทางด้านก้องเมื่อหยิบถ้วยมาแล้วก็จัดการตักต้ม ปลาในหม้อใส่ถ้วย ขณะสายตาเหลือบมองน้ำพริกที่ กำลังตีไข่อยู่แต่ก็ไม่พูดอะไร กระทั่งเธอตีไข่เสร็จ เตรียมจะทอด มือเล็กเอื้อมไปหยิบกระทะที่ห้อยอยู่ ข้างฝาผนัง มาวางลงบนเตาแก๊สจากนั้นก็เตรียมเปิด แก๊สทว่า...
“แก๊สหมด” ทางด้านน้ำพริกแม้จะได้ยินก้องเอ่ย บอกเช่นนั้นแต่เธอก็ไม่เชื่อ ยังคงดื้อรั้นที่จะเปิด แต่ก็ เปิดไม่ติดเพราะมันหมดตามที่เขาบอกจริง ๆ เธอจึง หันไปเอ่ยถามเขาด้วยใบหน้าสงสัย
“แล้วพี่ทำกับข้าวยังไง?”
“เตาถ่าน” สิ้นเสียงทุ้มตาคู่สวยก็มองยังเตาถ่าน เก่า ๆ ที่สภาพเหมือนผ่านการใช้งานมายาวนานตั้ง วางอยู่ พอเห็นไฟมอดลงแล้วเนื่องจากก้องเอาขี้เถ้าใส่ เพื่อดับไฟหลังจากทำกับข้าวเสร็จ
ปากเล็กก็เม้มแน่นขณะในหัวคิดไม่ตกว่าจะเอา ยังไงต่อดี เพราะเกิดมาจนอายุยี่สิบห้าเคยก่อไฟเตา ถ่านอยู่ครั้งเดียว นั่นก็คือตอนเข้าค่ายลูกเสือช่วง มัธยมเท่านั้นซึ่งมันก็นานมากแล้ว
ร่างเล็กยืนคิดครู่หนึ่งว่าจะเอายังต่อดี ขณะใบ หน้าสวยหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ไม่มีท่าทีจะสนใจ จึงไม่ อยากเอ่ยปากขอให้เขาช่