ตอนที่ 1
บทที่ 1
โดย : Nokonary
---
“เช็คบิลใช่มั้ยครับ! มาแล้ว ๆ”
ริมฝีปากสดสวยแยกยิ้มกว้างจนตาหยีหลังจากตอบรับลูกค้าโต๊ะสุดท้ายของร้าน
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหยุดมือที่กำลังจัดข้าวของบนเคาน์เตอร์ครัวก่อนจะก้าวขาเรียวยาวและออกเดินด้วยความกระตือรือร้น หลังจากจัดการค่าอาหารและเครื่องดื่มให้กับคู่รักตรงหน้าจนเสร็จสรรพ เขาก็ไม่ลืมที่จะโค้งคำนับและส่งยิ้มด้วยใบหน้าที่สดใสมอบให้กับลูกค้าทุกคนที่มาเยือนในทุก ๆ ครั้ง
ปานพนา
คือชื่อของเขา ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าได้รูป แม้จะหล่อเหลาแต่ก็นับได้ว่าเป็นบุรุษที่งดงาม ยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลางแมกไม้หลากหลายสายพันธุ์ที่ตกแต่งอย่างปราณีตทั้งภายในและสวนภายนอกของร้านอาหารและเครื่องดื่มขนาดเล็กแห่งนี้ ก็ยิ่งส่งให้เขาดูโดดเด่นและมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
ปานพนาลงมือเก็บกวาดโต๊ะอาหารด้วยตนเอง สองมือจัดวางจานชามและแก้วน้ำใส่ถาดอย่างระมัดระวัง ที่นี่เขาเป็นทั้งเด็กเสิร์ฟ แคชเชียร์ พ่อครัว และเจ้าของร้าน
ปานพนาอยู่ที่นี่มา 5 ปีแล้ว
ร้าน Forest Bathing (ฟลอเรสบาธติ้ง) ตั้งอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวที่เงียบสงบ มีลมทะเลพัดตลอดฤดูกาล
หาดทรายสีขาวสะอาดและน้ำทะเลสวยใส แต่นักท่องเที่ยวกลับมีไม่มากนัก จะเยอะก็แค่เพียงช่วงหยุดยาวหรือเทศกาลสำคัญ ๆ เหตุเพราะการเดินทางเข้าถึงที่เกาะนี้ค่อนข้างลำบากกว่าที่อื่น ๆ หลายเท่า
แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่ทำให้ปานพนาหลงใหลในการใช้ชีวิตอยู่บนเกาะแห่งนี้เป็นที่สุด เขาไม่ชอบความวุ่นวาย ชอบความสงบสบาย และเขาก็ชอบวิวทะเลที่ติดกับพื้นที่หาดของเขามาก...
แต่เรื่องที่แปลกอย่างหนึ่งคือ เขากลับเป็นคนที่คลั่งไคล้ในการปลูกต้นไม้ ปานพนาเพาะเลี้ยงแทบทุกพันธุ์เท่าที่จะหามาเพาะได้ บางไม้เขาก็ตัดแต่งเองเสียด้วย ทำให้ร้าน Forest Bathing มีฉายาเป็นป่าอเมซอนของเกาะนี้ ช่างแตกต่างจากร้านอื่น ๆ ในตัวเมืองหรือแถวหาดสาธารณะที่มักจะตกแต่งให้มีความโมเดิร์นและเรียบง่าย
ในขณะที่ร้านอื่น ๆ เลือกที่จะใช้โทนสีที่เรียบง่ายและตกแต่งอย่างทันสมัย Forest Bathing ของปานพนากลับเป็นป่าฝนเขตร้อนขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยพรรณไม้เขียวขจี ตั้งแต่อุโมงค์ไม้เลื้อยจนถึงมุมพักผ่อนที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ที่เขาเพาะเลี้ยงเอง เป็นสถานที่ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้หลีกหนีจากความวุ่นวายของชีวิตประจำวันและสัมผัสความเงียบสงบอันแท้จริง
เสียงคลื่นซัดสาดเป็นระลอกมาพร้อมกับกลิ่นทะเล ประสานกับเสียงตีปีกพึ่บพับของฝูงนกเจ้าถิ่นก็ดังขึ้นขณะกำลังรวมกลุ่มสยายปีกล่องลอยบินเหนือผืนน้ำที่มีสีฟ้าครามและทอประกายสีส้มทองอยู่ที่ขอบสะท้อนของแสงอาทิตย์
เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ทิวทัศน์อันสวยงามราวกับภาพวาดนี้ เขาไม่ได้นั่งมองอยู่เพียงผู้เดียว ยังมีพ่อบุญธรรมอีกคนหนึ่ง ที่มักจะยืนมองด้วยกันเคียงข้างปานพนาในทุก ๆ วัน แต่ความทรงจำนี้ก็มีอายุสั้นเพียง 3 ปีเท่านั้น
พ่อ...ก็จากเขาไป
พ่อบุญธรรมที่เปรียบดังพ่อบังเกิดเกล้าของปานพนา ผู้ที่เขาได้สืบทอดทั้งเจตนารมณ์และกิจการทุกอย่างมาจนถึงทุกวันนี้ ปานพนาไม่เคยนึกสงสัยว่าตนอยู่ที่เกาะนี้ตั้งแต่แรกเกิดหรือไม่ จำได้แค่เพียงเมื่อ 5 ปีนั้นพ่อบุญธรรมเล่าว่าเขาไปดำน้ำแล้วถูกพายุซัดจนเกือบไม่รอดชีวิต พอฟื้นมาอีกทีก็ไม่สามารถจำเรื่องราวในอดีตได้เลย แม้แต่ชื่อของตนก็ตาม
แต่ด้วยความรักความห่วงใยอันล้นเหลือของชายผู้ที่ดูแลเขามาอย่างดี จนถึงวันนี้เขายังคงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความรักที่พ่อบุญธรรมทิ้งไว้ให้
**มหาสมุทร**เสียงคลื่นซัดสาดเป็นระลอกมาพร้อมกับกลิ่นทะเล ประสานกับเสียงตีปีกพึ่บพับของฝูงนกเจ้าถิ่นก็ดังขึ้นขณะกำลังรวมกลุ่มสยายปีกล่องลอยบินเหนือผืนน้ำที่มีสีฟ้าครามและทอประกายสีส้มทองอยู่ที่ขอบสะท้อนของแสงอาทิตย์
เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ทิวทัศน์อันสวยงามราวกับภาพวาดนี้ เขาไม่ได้นั่งมองอยู่เพียงผู้เดียว ยังมีพ่อบุญธรรมอีกคนหนึ่งที่มักจะยืนมองด้วยกันเคียงข้างปานพนาในทุก ๆ วัน แต่ความทรงจำนี้ก็มีอายุสั้นเพียง 3 ปีเท่านั้น
พ่อ...ก็จากเขาไป
พ่อบุญธรรมที่เปรียบดังพ่อบังเกิดเกล้าของปานพนา ผู้ที่เขาได้สืบทอดทั้งเจตนารมณ์และกิจการทุกอย่างมาจนถึงทุกวันนี้ ปานพนาไม่เคยนึกสงสัยว่าตนอยู่ที่เกาะนี้ตั้งแต่แรกเกิดหรือไม่ จำได้แค่เพียงเมื่อ 5 ปีนั้นพ่อบุญธรรมเล่าว่าเขาไปดำน้ำแล้วถูกพายุซัดจนเกือบไม่รอดชีวิต พอฟื้นมาอีกทีก็ไม่สามารถจำเรื่องราวในอดีตได้เลย แม้แต่ชื่อของตนก็ตาม
อายุมากผู้นี้ ท่านได้ดูแลปานพนาราวกับลูกแท้ ๆ ทั้งรอยยิ้มอันอบอุ่น น้ำเสียงนุ่มเย็น และจิตใจที่มีเมตตาเอื้ออาทรอยู่เป็นนิจ
ทำให้หัวใจอันโดดเดี่ยวอ้างว้างของปานพนาถูกเติมเต็มด้วยความสุขอย่างไม่มีข้อจำกัด ตลอดเวลาที่ผ่านมาปานพนาจึงไม่เคยเลยสักครั้งที่คิดจะออกจากเกาะหรือไปเยือนยังแผ่นดินใหญ่ เขาเต็มใจจะอยู่ที่นี่ตลอดไปแม้ว่าพ่อบุญธรรมของเขาคนนี้จะเสียชีวิตและทิ้งให้เขาอยู่เพียงคนเดียวมาถึง 2 ปีแล้วก็ตาม
สายลมเย็นที่พัดโบกเข้าปะทะเรือนร่างอีกระลอกเร่งเร้าให้ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้างและลงมือเก็บกวาดทุกอย่างให้เข้าที่โดยไว
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ปานพนาจึงหยิบคว้ากีตาร์โปร่งคู่ใจที่ห้อยแขวนอยู่บนผนังแล้วออกย่ำผืนทรายด้วยเท้าเปล่า เขาเดินไปยังบริเวณโขดหินมุมโปรดที่สามารถนั่งมองทิวทัศน์ได้กว้างไกลพร้อมกับรับลมยามเย็นได้อย่างเต็มที่
นิ้วเรียวบรรจงดีดเกลาที่เส้นสายจนเกิดทำนองเพราะพริ้งจับใจ
ท่วงทำนองนั้นผสมผสานความรู้สึกที่มากมาย ทั้งฟังสบาย หวานละมุน แต่ในบางท่อนก็ให้ความรู้สึกที่โหยหา ราวกับกำลังคิดถึงใครคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา
**มหาสมุทร**เสียงคลื่นซัดสาดเป็นระลอกมาพร้อมกับกลิ่นทะเล ประสานกับเสียงตีปีกพึ่บพับของฝูงนกเจ้าถิ่นก็ดังขึ้นขณะกำลังรวมกลุ่มสยายปีกล่องลอยบินเหนือผืนน้ำที่มีสีฟ้าครามและทอประกายสีส้มทองอยู่ที่ขอบสะท้อนของแสงอาทิตย์
เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ทิวทัศน์อันสวยงามราวกับภาพวาดนี้ เขาไม่ได้นั่งมองอยู่เพียงผู้เดียว ยังมีพ่อบุญธรรมอีกคนหนึ่งที่มักจะยืนมองด้วยกันเคียงข้างปานพนาในทุก ๆ วัน แต่ความทรงจำนี้ก็มีอายุสั้นเพียง 3 ปีเท่านั้น
พ่อ...ก็จากเขาไป
พ่อบุญธรรมที่เปรียบดังพ่อบังเกิดเกล้าของปานพนา ผู้ที่เขาได้สืบทอดทั้งเจตนารมณ์และกิจการทุกอย่างมาจนถึงทุกวันนี้ ปานพนาไม่เคยนึกสงสัยว่าตนอยู่ที่เกาะนี้ตั้งแต่แรกเกิดหรือไม่ จำได้แค่เพียงเมื่อ 5 ปีนั้นพ่อบุญธรรมเล่าว่าเขาไปดำน้ำแล้วถูกพายุซัดจนเกือบไม่รอดชีวิต พอฟื้นมาอีกทีก็ไม่สามารถจำเรื่องราวในอดีตได้เลย แม้แต่ชื่อของตนก็ตาม
อายุมากผู้นี้ ท่านได้ดูแลปานพนาราวกับลูกแท้ ๆ ทั้งรอยยิ้มอันอบอุ่น น้ำเสียงนุ่มเย็น และจิตใจที่มีเมตตาเอื้ออาทรอยู่เป็นนิจ
ทำให้หัวใจอันโดดเดี่ยวอ้างว้างของปานพนาถูกเติมเต็มด้วยความสุขอย่างไม่มีข้อจำกัด ตลอดเวลาที่ผ่านมาปานพนาจึงไม่เคยเลยสักครั้งที่คิดจะออกจากเกาะหรือไปเยือนยังแผ่นดินใหญ่ เขาเต็มใจจะอยู่ที่นี่ตลอดไปแม้ว่าพ่อบุญธรรมของเขาคนนี้จะเสียชีวิตและทิ้งให้เขาอยู่เพียงคนเดียวมาถึง 2 ปีแล้วก็ตาม
สายลมเย็นที่พัดโบกเข้าปะทะเรือนร่างอีกระลอกเร่งเร้าให้ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้างและลงมือเก็บกวาดทุกอย่างให้เข้าที่โดยไว
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ปานพนาจึงหยิบคว้ากีตาร์โปร่งคู่ใจที่ห้อยแขวนอยู่บนผนังแล้วออกย่ำผืนทรายด้วยเท้าเปล่า เขาเดินไปยังบริเวณโขดหินมุมโปรดที่สามารถนั่งมองทิวทัศน์ได้กว้างไกลพร้อมกับรับลมยามเย็นได้อย่างเต็มที่
นิ้วเรียวบรรจงดีดเกลาที่เส้นสายจนเกิดทำนองเพราะพริ้งจับใจ
ท่วงทำนองนั้นผสมผสานความรู้สึกที่มากมาย ทั้งฟังสบาย หวานละมุน แต่ในบางท่อนก็ให้ความรู้สึกที่โหยหา ราวกับกำลังคิดถึงใครคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา
แต่...ปานพนาไม่รู้จักเพลงนี้
ไม่รู้ว่าชื่ออะไร เขาเป็นคนแต่งมันขึ้นมาหรือใครเป็นคนแต่งก็ไม่อาจทราบได้ เขาแค่ดีดบรรเลงไปด้วยความเคยชิน รู้แต่เพียงว่าเป็นท่วงทำนองที่ติดอยู่ในโสตประสาทตั้งแต่ที่เขาฟื้นขึ้นมาและพบว่าตนจำความอะไรไม่ได้สักอย่าง
ทว่า...เสียงนี้กลับก้องอยู่ในใจไม่จางหาย โดยเฉพาะในยามที่อารมณ์ของเขาล่องลอยไปกับคลื่นทะเลเบื้องหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะต้องหยิบกีตาร์โปร่งขึ้นมาเพื่อกรีดเกลาทำนองพร้อมฮืมฮัมไปตามเสียงเพลงอย่างไม่มีความหมายใด ๆ
เสียงไพเราะยังคงก้องกังวาล ชายหนุ่มหลับตาพริ้มเอื้อนเสียงในลำคอไปพร้อมกับเรียวนิ้วที่บรรเลงอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้สังเกตเลยว่า ด้วยท่วงทำนองเดียวกันนั้นได้พลันหยุดฝีเท้าของชายอีกผู้หนึ่งเอาไว้เช่นกัน...!
บุรุษแปลกหน้าผู้มีดวงตาเฉี่ยวคม ยามที่กำลังหลี่ตาเมื่อต้องแสงจ้าก็ยิ่งดูดุดัน เค้าโครงเครื่องหน้าของเขานั้นสมบูรณ์แบบราวกับเป็นประติมากรรมสรรสร้างจากสวรรค์ รูปร่างสูง มัดกล้ามหนัดแน่นแต่ไม่บางและไม่หนามากเกินไป ลาดไหล่ที่กว้างยิ่งขับให้คนผู้นี้ดูสง่าและทรงเสน่ห์กว่าบุรุษเพศคนไหน ๆ
สองเท้าที่กำลังสลับเดินเลาะผืนทรายของเขาชะงักนิ่งแทบจะทันที เมื่อได้แว่วเสียงทำนองจากเครื่องสายที่ปานพนากำลังดีดบรรเลง
เมื่อได้หันไปสบมองเข้ากับเงาร่างที่ดูคุ้นตาแม้จะเห็นเพียงด้านหลัง แต่ก็ทำให้ชายผู้มาใหม่คนนี้เนื้อตัวสั่นสะท้าน มือหนาของเขาก็พลันสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้
ลำคอค่อย ๆ แห้งผากลงขณะสองขาขยับก้าวอย่างเชื่องช้าทีละน้อยเพื่อเดินเข้าไปใกล้ให้มากขึ้น เขาเงี่ยหูฟังเสียงเพลงนี้อย่างตั้งใจ เพลงที่เป็นดั่งตัวแทนของความทรงจำในส่วนลึก...
เพลงของเราสองคน!
หัวใจของชายแปลกหน้ายิ่งเต้นระรัวมากขึ้น เพราะยิ่งได้ยินก็ยิ่งชัดเจน ยิ่งฟังอย่างไรก็ยิ่งใช่... ยามได้เข้าไปใกล้ยามได้มองเห็น สายตาของเขาเลื่อนสำรวจถึงเส้นผม ลำคอ ช่วงตัว ส่วนสูงที่คาดประมาณให้กับบุรุษเบื้องหน้าที่กำลังนั่งพิงโขดหินดีดบรรเลงกีต้าร์ด้วยอารมณ์อันสุนทรี
เหมือนมาก เหมือนเหลือเกิน...